สวัสดีค่ะ ชื่อ ผิง ภัคเบญจา วสุกุลสิริ นิสิตคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชั้นปีที่ 3
Myrtle beach, South Carolina USA
โรงแรม Marriot hotel
จะมาเล่าประสบการณ์ work and travel โดยแบ่งออกเป็น 2 หัวข้อใหญ่ดังนี้
1.การทำงาน
จากการที่ผิงได้สมัครเข้า ร่วมโครงการกับทาง mplc จึงมีโอกาสได้สัมภาษณ์งานกับทางตัวแทนของ mplc และ AWA ซึ่ง AWA จะเป็นตัวแทนของบริษัททางอเมริกาในตอนแรกผิงและเพื่อนๆได้เลือกที่จะ ทำงาน McDonalds เมื่อการสัมภาษณ์ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีดูเหมือนเราจะได้ไปทำ งานอย่างที่หวังไว้แต่แล้วนายจ้างก็ตัดสินใจเลือกแค่เพื่อนบางคนในกลุ่ม เลยตัดสินใจเลือกงานใหม่ และเป็นช่วงกระชั้นชิดในการตัดสินใจ จึงสุดท้ายเรากับเพื่อน ๆ เลือกไปที่นี่ที่ทุกคนได้ไปพร้อมกันหมด แล้วก็มาถึงวันเดินทางที่พวกเราตั้งหน้าตั้งตารอเรา เดินทางโดยสายการบิน Korean air เพื่อที่ขากลับจะได้แวะเที่ยวต่อที่เกาหลีการเดินทางของเรายาวนานมาก 20 กว่าชั่วโมง ต่อเครื่องถึง 3 ครั้ง กว่าจะมาถึงที่ Myrtle beach เมื่อมาถึงก็มีผู้จัดการที่ดูแลมารับและพาไปที่ office เพื่อทำการปฐมนิเทศและบอกรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องงานจากตอนแรกdsของพวกเราระบุไว้ว่า dunes ville resort แต่ เรากลับไม่ได้ทำงานที่ระบุไว้ในdsเค้าให้เราไปอีกโรงแรมหนึ่งซึ่งผิงถือว่า เราโชคดีมากกกกโรงแรมนั้นคือ Marriott hotel งานของเราคือ housekeeping ดังนั้นงานเราคือ ปูเตียงและทำความสะอาดห้อง เริ่มงานแรกๆเราจะต้อง train งานกับแม่บ้านที่มีอยู่แล้วเป็นเวลา 2-3 วัน แล้วแต่ตารางงานซึ่งผิงได้train 3 วัน ขอเรียกเพื่อนร่วมงานทุกคนว่าป้านะจ้าาา ป้าที่trainด้วยทุกคนน่ารักหมดช่วยเราตอนไม่ว่าจะพ้น train แล้วก็ตาม เรียกไปเอาของห้องcheckout พาขับรถส่งบ้านบอกว่ามีคนขโมยผ้ารวม ให้ของตอนจะกลับไทย คุยเรื่องงานกันต่อนะเมื่อเราได้เริ่มทำงานคนเดียว 2-3 วันแรกเราจะได้ห้องในจำนวนน้อยกว่าพวกป้าๆๆ หลังจากนั้นเราจะได้เท่าพวกป้าบ้างครั้งอาจได้มากกว่าเนื่องจากพวกเราทำกัน เร็ว ทุกเช้าจะมีการแจกboard นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้ว่าวันนี้จะได้ทำกี่ห้อง โดยเฉลี่ยเราจะได้ทำ 20ห้อง และ 8 ห้อง check out วันไหนหนักหน่อยก็จะได้ 15 ห้อง checkout นอกจากรู้จำนวนห้องยังรู้เวลาที่ต้องทำให้เสร็จ ส่วนใหญ่ราวๆๆ 3โมงเย็น checkout เยอะก็จะประมาน 4-5 โมง แค่เห็นใบก็รู้ได้เลยว่าวันนี้เหนื่อยแค่ไหน แต่การทำห้องยังไม่เหนื่อยเท่ากับการที่พวกเราต้องหาผ้าปูที่นอนปลอกหมอน ผ้าขนหนูเอง พวกเราต้องทำเองทุกขั้นตอนตั้งแต่ รีด พับใส่รถ ใส่ ห้องแขก เอาลงมาซักครบวงจรในตัวคนเดียวจ้าาาา maneger ของเราจะมีการให้กำลังใจใจการทำงานคือการเลี้ยง pizza และ donut ในวันที่ทำงานหนักส่วนวันทั่วไปที่โรงแรมจะมีการเลี้ยงอาหารกลางวันอยู่แล้ว ซึ่งอร่อยมากกจนเพื่อนโรงแรมอื่นอิจฉาเลยทีเดียว(หลังๆๆๆพวกเรายังแอบเอา กลับบ้านมากินเป็นมื้อเย็นเลย มีทั้งแซลมอนไก่หมูมันฝรั่งเบอร์เกอร์เค้กเบอเกอรี่)
ทุกอย่างฟังดูราบรื่น อีกแล้วแต่จริงๆๆไม่ใช่พวกเราตกรถกันบ่อยมากกกเรียกได้ว่าช่วงแรกตกประจำจน ต้องโทรให้ผู้จัดการมารับเลยทีเดียวเนื่องจากรถที่จะวิ่งเข้าเมืองจะมาชั่วโมงละคนและรอบสุดท้ายคือ 6 โมงเย็นถ้าพลาดรอบนี้แล้วเราจะไม่มีรถกลับบ้าน ซึ่งเราไม่รู้ในตอนแรกและการทำงานที่หนักทำให้เสร็จช้าบ้างก็เลยตกรถหลังๆๆเรา เลยต้องรีบทำใครเสร็จก่อนก็รีบไปช่วยอีกคนจะได้ไม่ตกรถถ้ารู้สึกว่ามีแนว โน้มตกรถก็จะรีบขอให้พวกป้าๆๆไปส่งคุยรู้เรื่องบ้างไม่รู้เเรื่องบ้าง(ป้าๆๆ เป็นคน Mexican ส่วนใหญ่) แต่โดยรวมแล้วการทำงานที่ Marroitt ถือเป็นเรื่องที่สนุกและ ได้ประสบการณ์มากมายเลยทั้งเพื่อนรวมงานที่ดีสิ่งแวดล้อมหลายๆอย่างที่ อธิบายไม่ได้รวมถึงเรื่องเงินด้วยนะทิปเยอะเลยทีเดียวล่ะ
งานสองหาง่ายสำหรับเมืองนี้ แล้วพวกเรายังโชคดีที่ได้ทำงานสองที่เดี่ยวกันคือ Family kingdom ซึ่งเป็นสวนสนุกที่อยู่ในเมืองและใกล้ที่พักพวกเราแค่ข้ามถนนก็ถึงเลย เรื่องบังเอิญมากเนื่องจากช่วงแรกงานโรงแรมชั่วโมงของเรายังไม่เยอะมากจึงเริ่มออก หา second job กันเดินหา ไปเรื่อยๆโดยไม่ได้นึกถึงที่นี่เลย จนคนในร้านต่างๆที่เราไปสมัครมาบอกว่าให้ ลองมาสิที่ตอนแรกพวกเราไม่มาเพราะคิดว่าเค้ารับเด็กไทยเยอะแล้วไม่น่าจะรับ พวก second job แต่พอเราเดินกลับบ้าน เลยลองเดินเข้าไปถามดูเจอคุณลุงคนหนึ่งแกบอกว่ารับให้เดินเข้าไปสมัครเลยพอ เข้าไปแล้วคนข้างในไม่รับพวกเราเลยจะเดินกลับบ้าน ดันเจอคุณลุงคนแรกแกก็รีบบอกคนข้างในให้แล้วบอกให้พวกเราเดินกลับเข้าไปอีกที เมื่อเดินกลับเข้าไป คนข้างในให้เรากรอกเอกสารแล้วก็ทำสัญญาในทันทีมารู้ตอนหลังคุณลุงที่เจอคือ เจ้าของสวนสนุกเราโชคดีจริงๆ เราจึงเป็นกลุ่มแรกๆ ที่ได้ second job พวกเราได้เป็น photo booth cashier เรามี กัน 3 คนก็ได้ประจำกันคนละbooth วันแรกที่ทำงานคือวันเปิดสวนสนุกทำงานตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืนกันเลย หลังจากนั้นก็ทำงานตามตารางที่เค้าจัดให้ได้ นั่งทำงานในห้องแอร์แถมเป็น second job และยังได้ค่าจ้างที่มากกว่า ทำให้เราเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็วในหมู่เด็กไทยที่ family kingdom ถ้ายังจำ คุณลุงเจ้าของกันได้ลุงแกชื่อ denny เป็นคนที่น่ารักมากกกคอยถามไถ่เรื่องงาน อยู่เสมอทั้งที่โรงแรมและสวนสนุกว่าเหนื่อยไหมไหวรึเปล่าจำชื่อพวกเราได้ ด้วยดีจริงๆ ผ่านไปประมาน3อาทิตย์ลุง denny ก็ขอให้ผิงมาทำงานเป็น cashier ที่ แผนก food เราก็โอเคผิงถือว่าเป็นโชคดีอีกครั้งเพราะที่แผนก food เราได้ทำหลาย อย่างไม่ใช่แค่ cashier เราต้องขายไอติม ป๊อปคอร์น ไก่ทอดน้ำ เบอเกอร์ หลายอย่างเลย ผิงประจำ ร้านไอศครีมสิ่งที่ขายคือไอศครีม cotton candy candy apple popcorn แล้วก็น้ำเป็นสื่งที่สนุกมากกไม่มีคนซื้อเราก็นั่งกินมีกลิ่น popcorn กลับบ้านทุกวันนอกจากกลิ่นแล้วบางวันที่ popcorn เหลือเราก็เอากลับได้แต่บาง วันเราก็จะต้องเป็น runner ที่คอยไปช่วย booth ขายอาหารอื่นๆอีก booth ที่ไปบ่อยจนหลังๆได้ประจำคือ jetter (ขายเบอร์เกอร์ เฟรนฟราย) สิ่งที่ดีของการขายอาหารคือได้พูดได้เพื่อนรวมงาน (หลายชาติ)ได้กิน(กินของเหลือ)ได้ทิป (penny,dollar) และได้อีกหลายอย่างเป็นสวนสนุกสวนน้ำฟรี ฯลฯ แต่ก็อีกแหละเมื่อเราทำสองงานก็ มีเหนื่อยมีอยากพักบ้าง (ทำงาน 7 วันติด ทั้งโรงแรมและสวนสนุกทำโรงแรม 8โมง ถึง 4โมง รีบกลับบ้านเพื่อมาถึงสวนสนุกต่อ ตอน 6 โมงถึงเที่ยงคืน ถ้าศุกร์เสาร์ถึงเกือบตีหนึ่ง ซึ่งเหนื่อยมากก
2. บ้านพัก
บ้านพักของผิงและเพื่อนๆ ผู้จัดการที่ดูแลที่นี้เป็นคนหาให้เพราะเค้ามี contact บ้านพักของเราเป็น อพาทเมนต์ 3 ชั้น ชั้นล่างเป็นร้านพิซซ่าส่วนชั้น 2 และ 3 เป็นที่อยู่อาศัยพักห้องละ 2 คน มีห้องครัวเป็นครัวกลางมีตู้เย็นไมโครเวฟพวกเรามาถึงเป็นกลุ่มแรกเลย อพาร์มทเมนต์ของเราค่อนข้างสะดวกสบายสามารถ เดินไปไหนมาไหนได้มีสวนสนุกอยู่ตรงข้ามจึงทำให้แถวนี้คึกคักอยู่เสมอเรียก ได้ว่ามีคนเดินตลอดเวลายิ่งช่วงเทศกาล bikeweek (คนผิวสีมาขี่มอเตอร์ไซค์ big bikeกัน) โดยรวมแล้วถือว่าที่พักเราโอเค ใกล้แหล่งชุมชน ติดทะเล และราคาไม่แพงมาก
จากที่เล่ามาทั้งหมดนี้ผิงถือว่าคุ้มจริงๆๆกับการเข้าร่วมโครงการในครั้งนี้ทำ ให้ได้ทั้งเพื่อน ประสบการณ์และอีกหลายอย่างที่หาไม่ได้จากการอยู่บ้านเฉยๆในช่วงปิดเทอมครั้ง นึงในชีวิตที่จะหาประสบการณ์แบบนี้ได้